ในช่วงต้นวันพุธ คู่เงิน NZDUSD ร่วงลงมากที่สุดในรอบสองสัปดาห์จากการยุติการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายของธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) รวมถึงดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของจีนที่ปรับลดลงในเดือนมิถุนายน โดย RBNZ ดำเนินการสอดคล้องกับความคาดหวังของตลาดในการคงอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงเดิมไว้ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ยังคงแสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการตอบรับนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย หากอัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลงอีก ในทางกลับกัน ตัวเลขดัชนี CPI ของจีนลดลงเหลือ -0.2% MoM และ 0.2% YoY ในเดือนมิถุนายน เมื่อเทียบกับการคาดการณ์ของตลาดที่ -0.1% และ 0.4% จาก -0.1% และ 0.3% ตามลำดับ
ด้วยเหตุนี้ คู่เงิน NZDUSD จึงปรับตัวลงมากกว่า 0.50% ในรอบวัน ขณะที่ แรงเทขายท้าทายแนวรับที่เส้น 200-SMA ที่ราวๆ 0.6076 โดยบริเวณใกล้เคียงกันนั้น ยังมีแนวรับทางเทคนิคที่แข็งแกร่ง ซึ่งประกอบด้วยเส้น 100-SMA และแนวรับที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอายุ 11 สัปดาห์ ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 0.6065 ในกรณีที่คู่เงินกีวีปิดรายวันต่ำกว่าระดับ 0.6065 แนวรับสำคัญถัดไปคือกลุ่มจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดที่บริเวณ 0.6040-35 จะทดสอบแรงเทขายก่อนที่จะมุ่งหน้าสู่ระดับราคาที่ประมาณ 0.6000 ต่อไป
ในขณะเดียวกัน สัญญาณบูลครอส (bull cross) ที่กำลังจะปรากฏบน MACD และสัญญาณ RSI ที่ปรับตัวลง ร่วมกับแนวรับสำคัญที่ชี้ให้เห็นถึงโอกาสในการดีดตัวสูงขึ้นของคู่เงิน NZDUSD ซึ่งจะนำไปสู่แนวต้านแนวนอนอายุ 3 สัปดาห์ที่บริเวณ 0.6150-55 หากคู่เงินกีวีสามารถข้ามผ่านอุปสรรคของช่วงขาขึ้นไปได้ ระดับถัดไปที่ต้องจับตามองคือ ระดับ Fibonacci ratio 61.8% ในช่วงขาลงของระดับราคาระหว่างเดือนธันวาคม 2023 ถึงเดือนเมษายน 2024 ที่ประมาณ 0.6175 ก่อนที่จะไปถึงแนวต้านแนวนอนอายุ 6 เดือนที่ราวๆ 0.6215-22 ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นแนวรับสุดท้ายของช่วงแนวโน้มขาลง
สรุปภาพรวม คู่เงิน NZDUSD มีแนวโน้มที่จะเกิดการดีดตัวสูงขึ้น แต่โอกาสในการฟื้นตัวยังมีความไม่แน่นอนหากราคายังอยู่ต่ำกว่าระดับ 0.6222