USDJPY พยายามรักษาระดับแนวโน้มขาขึ้นอายุหนึ่งเดือน หลังจากที่ BoJ ระงับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างระมัดระวัง
คู่เงิน USDJPY ยุติการปรับตัวสูงขึ้นสามวันติดต่อกัน แม้ว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) จะคงอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงไว้ไม่เปลี่ยนแปลงตามการคาดการณ์ หลังการประชุมด้านนโยบายการเงินที่ดำเนินมาแล้วสองวันในเช้าวันพฤหัสบดีนี้ ส่งผลให้คู่เงินเยนท้าทายช่วงแนวโน้มขาขึ้นอายุห้าสัปดาห์
กระทิงยังไม่น่าเชื่อถือมากนัก ขณะที่หมีมีเส้นทางที่ยากลำบากรออยู่ข้างหน้า...
นอกจากการยุติการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดของ BoJ แล้ว สัญญาณ MACD และ RSI ที่ปรับลดลง ประกอบกับการที่คู่เงิน USDJPY ไม่สามารถทะลุเส้นแนวต้านขาขึ้นอายุหนึ่งเดือน และระดับ Fibonacci retracement 61.8% ของช่วงขาลงระหว่างเดือนกรกฎาคม-เดือนกันยายนยังบ่งชี้ถึงการชะลอตัวของแนวโน้มขาขึ้นอีกด้วย อย่างไรก็ตาม แนวรับสำคัญหลายระดับอาจท้าทายแรงเทขายก่อนที่จะสามารถเข้าควบคุมตลาด
ระดับทางเทคนิคสำคัญที่ควรจับตามอง
เส้นด้านล่างของช่วงแนวโน้มขาขึ้นที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้ ซึ่งอยู่ใกล้ระดับ 152.80 กำลังได้รับความสนใจจากนักเทรดฝั่งขายเป็นอันดับแรก ก่อนจะถึงเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบเอกซ์โพเนนเชียล (EMA) 50 บาร์ที่ล่าสุดอยู่ที่บริเวณ 152.20 หลังจากนั้น แรงเทขายคู่เงิน USDJPY อาจตั้งเป้าหมายไปที่ระดับราคาที่ราวๆ 150.00 และแนวรับที่เส้น 200-EMA ที่ราวๆ 149.00 หากราคายังคงปรับลดลงต่อเนื่องต่ำกว่าระดับ 149.00 ระดับ Fibonacci ratio 38.2% และจุดสูงสุดของเดือนกันยายนที่ประมาณ 148.10 และ 147.20 ตามลำดับ จะทำหน้าที่เป็นแนวรับสุดท้ายของแรงเทซื้อ
ในทางกลับกัน คู่เงิน USDJPY จำเป็นต้องพุ่งสูงขึ้นทะลุระดับ Fibonacci retracement 61.8% ที่ราวๆ 153.45 หรือที่เรียกกันว่า ‘อัตราส่วนทองคำ (golden ratio)’ อย่างชัดเจนเพื่อดึงดูดแรงเทซื้อ ถึงกระนั้น เส้นแนวโน้มขาขึ้นอายุหนึ่งเดือนและแนวต้านแนวนอนซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคมที่บริเวณ 154.80 และ 155.30-40 จะยังเป็นอุปสรรคสำหรับการปรับตัวขึ้นต่อไปของคู่เงินเยน หากราคายังคงยืนเหนือระดับ 155.40 ได้อย่างแข็งแกร่ง มีโอกาสที่จะได้เห็นการปรับตัวขึ้นไปยังกรอบด้านบนของช่วงแนวโน้มขาขึ้นที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้ที่บริเวณ 157.70 ต่อไป
โฟกัสข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ
เนื่องจากท่าทีระมัดระวังของ BoJ ส่งผลกระทบต่อแรงเทซื้อคู่เงิน USDJPY นักลงทุนในตลาดจึงจับตามองรอการรายงานข้อมูลอัตราเงินเฟ้อและรายงานการจ้างงานของสหรัฐฯที่จะมีการประกาศออกมาในเร็วๆนี้ เพื่อดูทิศทางที่ชัดเจนมากขึ้น
