ออกจากระบบ
คุณจะแน่ใจหรือไม่ที่จะออกจากระบบ

เจาะลึกคริปโต: Bitcoin vs. Ethereum – ต่างกันยังไง? อะไรน่าลงทุนกว่ากัน?

โลกการลงทุน Crypto มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ซึ่งดึงดูดนักเทรดมือใหม่และนักลงทุนมืออาชีพสนใจเข้าไปลงทุนเพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไร โดยแพลตฟอร์มคริปโตหรือโบรกเกอร์แต่ละเจ้าก็มีเครื่องมือที่หลากหลายในการเทรด มีให้เลือกทั้งเหรียญในกระแสและนอกกระแส ขณะที่โบรกเกอร์หลายแห่งก็พยายามเสนอเงื่อนไขที่ดีที่สุดเพื่อดึงดูดนักเทรดให้ได้มากที่สุด

None

ในปัจจุบัน แม้จะมีเหรียญใหม่เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ แต่ Bitcoin และ Ethereum ยังคงเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในการเทรดคริปโต นอกจากนี้ยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่แข็งแกร่งและมีเสถียรภาพมากที่สุดซึ่งมีมูลค่าเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ว่าแต่… BTC หรือ ETH เหรียญไหนน่าลงทุนมากกว่ากัน? แล้ว BTC และ ETH ต่างกันอย่างไร? เรียนรู้ได้จากบทความนี้!

Industry-best trading conditions
Deposit bonus
up to 200% Deposit bonus 
up to 200%
Spreads
from 0 pips Spreads 
from 0 pips
Awarded Copy
Trading platform Awarded Copy
Trading platform
Join instantly

ความแตกต่างระหว่าง BTC และ ETH: พื้นฐานการเทรด Crypto

ก่อนจะเลือกโปรแกรมเทรด crypto และเลือกสินทรัพย์ที่ต้องการลงทุน ท่านต้องเข้าใจก่อนว่าจะลงทุนอะไร โดยไม่เพียงแค่สำรวจข้อมูลในอดีตและศึกษาความเคลื่อนไหวของราคาในช่วงที่ผ่านมาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงหลักการของสินทรัพย์ต่างๆ วิธีการพัฒนาและปัจจัยหนุนสินทรัพย์นั้นๆ ด้วยเช่นกัน

โดยข้อแตกต่างสำคัญระหว่าง BTC และ ETH มีดังนี้:

  1. BTC เป็นสกุลเงินดิจิตอล ตรงกันข้าม Ethereum เป็นแพลตฟอร์มแบบสแตนด์อโลนที่มีโทเค็นดั้งเดิมที่รู้จักกันในชื่อ Ether ซึ่งใช้กันในบล็อกเชน
  2. Bitcoin เป็นสินทรัพย์ crypto ที่ใหญ่และเติบโตมากที่สุดในตลาดคริปโตตามมูลค่าตลาด ขณะที่ ETH มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดเป็นอันดับสองรองลงมา
  3. ผู้ถือ ETH มักจะได้รับประโยชน์จากการทำธุรกรรมที่เร็วกว่าเมื่อเทียบกับ BTC
  4. ผู้ถือ BTC ส่วนใหญ่ซื้อเหรียญเพื่อเก็บและรับผลตอบแทนในระยะยาว ขณะที่ ETH จะเน้นใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในบล็อกเชน
  5. Ethereum ถูกคิดค้นและพัฒนาขึ้นมาไม่ใช่เพื่อให้เป็นคู่แข่งของ BTC แต่ตัวช่วยหนุน Bitcoin

เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น มาดูรายละเอียดของแต่ละสกุลเงินแบบละเอียด

Bitcoin คืออะไร? มีหลักการอย่างไร?

ย้อนกลับไปในปี 2009 Satoshi Nakamoto ได้นำแนวคิดของระบบ Peer-to-peer ที่เชื่อกันว่าให้ผู้ใช้รักษาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์แบบ Peer-to-peer ได้ โดยระบบได้รับการออกแบบให้เป็นสภาพแวดล้อมแบบกระจายอำนาจ (Decentralized) หมายความว่าไม่มีหน่วยงานกลางคอยควบคุมธุรกรรม นี่คือที่มาของแนวคิดเรื่องสกุลเงินดิจิทัล ดังนั้น ตอนนี้เราอาจใช้เงินที่ไม่มีอยู่จริง

ในความเป็นจริง BTC กลับมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนส่วนใหญ่ใช้เป็นเครื่องมือในการลงทุนมากกว่าเพื่อใช้ทำธุรกรรมทั่วๆ ไป โดยนับว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเมื่อพิจารณาจากค่าคอมมิชชั่นและค่าธรรมเนียมที่ค่อนข้างสูง ในเวลาเดียวกัน มันได้พิสูจน์แนวคิดของการนำระบบการชำระเงินแบบศูนย์กลางมาใช้งาน ทำให้เหรียญที่เน้นใช้ในการทำธุรกรรมหรือชำระเงินเกิดขึ้นจำนวนมากในปัจจุบัน

Ethereum คืออะไร? มีหลักการอย่างไร?

ต่างกับ BTC (เหรียญตัวแรก) Ethereum เป็นแพลตฟอร์มแบบสแตนด์อโลนที่ใช้งานกันทั่วโลก โดยแพลตฟอร์มนี้ใช้ Ether ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสกุลเงินดั้งเดิมในการขับเคลื่อนแพลตฟอร์ม โดยอุปสงค์ของ ETH จะขึ้นอยู่กับความต้องการพลังประมวลผลที่ใช้หนุน Ethereum blockchain นั่นเอง

แพลตฟอร์มนี้ถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของภาษาโปรแกรม Solidity ที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้รักษาสัญญาอัจฉริยะและปรับใช้บนบล็อกเชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยิ่งไปกว่านั้น นักพัฒนาจำนวนมากยังใช้บล็อคเชนของ ETH เพื่อสร้างแอปพลิเคชัน เนื่องจากมีลักษณะการกระจายอำนาจอีกด้วย

หลายคนอาจเรียกว่า dApps (แอปพลิเคชันที่กระจายอำนาจ) ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้บริการและผลิตภัณฑ์ที่น่าไว้วางใจต่อผู้ใช้ปลายทาง แอพเหล่านี้อาจมีวัตถุประสงค์ในการให้บริการที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นบริการทางการเงิน เกม หรือโซเชียลมีเดีย ขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญทางธุรกิจ โดยในการรัน dApps ท่านจะต้องมี Ether ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของ Ethereum blockchain

ข้อแตกต่างที่ชัดเจนระหว่าง BTC และ ETH

แนวคิดแรกในการเริ่มต้นการพัฒนา BTC ก็เพื่อให้ผู้คนสามารถโอนเงินกันได้แบบ peer-to-peer (โอนกันโดยตรงจากผู้ใช้รายหนึ่งไปยังอีกรายหนึ่งโดยหลีกเลี่ยงบุคคลที่สาม คนกลาง และค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม)

ขณะที่ Ethereum ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้เข้าร่วมบล็อกเชนสร้างและปรับใช้สัญญาอัจฉริยะด้วยฟังก์ชันที่ไร้ขีดจำกัด และไม่จำเป็นต้องมีหน่วยงานส่วนกลางมาคอยควบคุมแอปพลิเคชันที่เรียกว่า dApps นั่นเอง

อย่างไรก็ตาม เราสามารถใช้ ETH เป็นสกุลเงินดิจิทัลได้เช่นกัน แม้จะไม่ใช่วัตถุประสงค์หลักในการพัฒนาเหรียญดังกล่าวขึ้นมาก็ตาม เพราะโดยส่วนใหญ่ ETH จะทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการสร้างรายได้จากการดำเนินงานที่ถือผ่านสัญญาอัจฉริยะของ Ethereum มากกว่า

อีกหนึ่งข้อแตกต่างที่ชัดเจนคือมูลค่าตลาด BTC ที่ทำเงินได้ถึง 5.5 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ค. ในปี 2022 นี้ ขณะที่ ETH มีมูลค่าตลาดต่ำกว่าสองเท่า ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 2 หมื่นล้านดอลลาร์นั่นเอง

บทความนี้ไม่มีและไม่ควรถูกพิจารณาว่ามีคำแนะนำหรือคำปรึกษาด้านการลงทุน รวมถึงข้อเสนอหรือการชักชวนในการทำธุรกรรมใดๆ ในตราสารทางการเงิน ทั้งนี้ นักลงทุนควรขอคำแนะนำจากที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน