มีสิ่งต่างๆ มากมายที่นักเทรดมือใหม่จะต้องเรียนรู้เมื่อเริ่มเข้าสู่โลกแห่งการเทรดหุ้นเป็นครั้งแรก เพราะเส้นทางการลงทุนที่ดีควรจะเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจว่าหุ้นต่างๆ มีความเคลื่อนไหวอย่างไร ซึ่งสามารถศึกษาได้จาก "Stock Chart" หรือ "กราฟหุ้น" ที่จะช่วยให้ท่านเห็นภาพตลาดได้ชัดเจนมากยิ่งกว่าเดิม

การอ่านกราฟไม่เป็นถือเป็นอุปสรรคมหันต์ของการเทรดหุ้น เพราะกราฟหุ้นถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะไขประตูสู่ความความสำเร็จในการเทรดเลยก็ว่าได้ เนื่องจากกราฟเหล่านั้นจะช่วยให้การเทรดของท่านราบรื่น และยังทำให้การคาดการณ์ราคาตลาดล่วงหน้าเป็นเรื่องง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้น
บทความนี้จะช่วยให้ท่านเข้าใจกระบวนการในการเทรดโดยการศึกษากราฟราคา เพื่อหลีกเลี่ยงความผิดพลาดในการเทรด และทำให้การเริ่มต้นเทรดของท่านเป็นไปได้ด้วยดี
การอ่าน "กราฟหุ้น" คืออะไร?
"กราฟหุ้น" หรือที่เรียกอีกอย่างว่า "กราฟราคา" เป็นตัวช่วยที่ทำให้เทรดเดอร์สามารถมองภาพความเคลื่อนไหวของหุ้นในสภาวะตลาดแต่ละรูปแบบได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยท่านจะสามารถสังเกตุได้ว่าราคาหุ้น ณ ปัจจุบันอยู่ในสภาวะใด และมีแนวโน้มทิศทางในอนาคตเป็นอย่างไร
การอ่านกราฟหุ้นคงเป็นเรื่องยาก หากท่านปราศจากความรู้ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับองค์ประกอบของกราฟ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ท่านไม่เพียงแค่ต้องเข้าใจว่าตลาดทำงานอย่างไรเท่านั้น แต่ยังต้องทราบวิธีการใช้งานอินดิเคเตอร์ตัวช่วยวิเคราะห์กราฟที่หลากหลายอีกด้วย เพราะหุ้นแต่ละตัวก็มีหน้ากราฟราคาที่แตกต่างกัน โดยกราฟเหล่านั้นก็จะบอกตั้งแต่ข้อมูลเบื้องต้นไปจนถึงข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของราคา และอื่นๆ อีกมากมาย
องค์ประกอบของกราฟหุ้นที่ควรศึกษา
เพื่อทำความเข้าใจข้อมูลต่างๆ ในกราฟหุ้น เทรดเดอร์จะต้องเรียนรู้องค์ประกอบพื้นฐานของกราฟ ซึ่งได้แก่:
- ราคาและปริมาณการซื้อขาย (Price และ Volume)
- กราฟราคา (Stock Chart) และเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average)
- เส้น Relative Strength Index (RSI)
เอาล่ะครับ ได้เวลามาทำความเข้าใจองค์ประกอบแต่ละอย่างในกราฟให้มากยิ่งขึ้น เพื่อเรียนรู้ว่าองค์ประกอบต่างๆ ในกราฟสำคัญต่อการเทรดของท่านอย่างไร
ราคาและปริมาณการซื้อขาย (Price และ Volume)
ในเบื้องต้น กราฟราคาจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ ได้แก่ ราคา (Price) และ ปริมาณการซื้อขาย (Volume) ซึ่งก็คือปริมาณของหุ้นทั้งหมดที่กำลังมีการเทรดกันอยู่ในตลาดนั่นเองครับ โดยหลักการสำคัญก็คือ การพิจารณาทั้งราคาและ Volume ของหุ้นนั้นๆ ไปพร้อมกัน จะเลือกดูแค่ราคาหรือ Volume เพียงอย่างเดียวไม่ได้ เพราะหากเทรดเดอร์พิจารณาแค่ราคา ท่านก็จะไม่รู้เลยว่าหุ้นนั้นกำลังมีปริมาณการซื้อขายมากน้อยแค่ไหน Volume จึงถึอเป็นสิ่งสำคัญที่ท่านจะต้องไม่มองข้ามทุกครั้งที่เทรด
ท่านสามารถดูราคาและ Volume ของหุ้นได้บนแพลตฟอร์ม MetaTrader4 ในเวอร์ชั่นเว็บไซต์ ผ่าน บัญชีเดโม่ ของเรา และหากท่านต้องการเปิดใช้งาน OBV (อินดิเคเตอร์แสดงดัชนีปริมาณหุ้นสะสม) กด 'Insert' ตรงแถบเครื่องมือด้านบน จากนั้นเลือก Indicators -> Volumes -> On Balance Volume

ตัวอย่าง: เมื่อสังเกตุเห็นว่าหุ้นตัวหนึ่งกำลังร่วงกว่า 2% ภายในวันเดียว ท่านอาจเริ่มมีความวิตกกังวล แต่เมื่อลองพิจารณา Volume แล้วพบว่า "หุ้นนั้นยังมีปริมาณการซื้อขายที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย" ความกังวลของท่านก็อาจหายไปในพริบตา เพราะนั่นหมายความว่าเทรดเดอร์รายใหญ่ไม่ได้กำลังซุ่มเทรดหุ้นนั้นอย่างหนักหน่วง แต่กำลังนั่งพักผ่อนชิวๆ อยู่ต่างหากล่ะครับ ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่ท่านเองควรทำเช่นกัน!
เส้น Moving Average ในกราฟหุ้น
เส้น Moving Average (MA) หรือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถวิเคราะห์ราคาหุ้นในแต่ละช่วงเวลาได้ ยิ่งไปกว่านั้น มันจะช่วยทำให้เทรดเดอร์รู้ได้ว่าหุ้นที่กำลังเทรดนั้นเป็นหุ้นที่ถูกอุ้มโดยนักเทรดขาใหญ่ที่อาจจะเทขายโหด (เหมือนโกรธใครมา) ในวันข้างหน้าหรือเปล่า
โดยเส้น MA นี้จะใช้งานได้ดีกับหุ้นที่หนุนด้วยแรงซื้อปริมาณมากๆ จากองค์กรหรือเทรดเดอร์รายใหญ่ จึงมีผลทำให้ราคาหุ้นนั้นดิ่งลงหรือพุ่งขึ้นได้ตามที่พวกเขาต้องการ
เทรดเดอร์สามารถลองเปิดใช้งาน Moving Average ได้บน MetaTrader4 เวอร์ชั่นเว็บไซต์ผ่าน บัญชีเดโม่ เพียงกด 'Insert' ตรงแถบเครื่องมือด้านบน จากนั้นเลือก Indicators -> Trend -> Moving Average

เมื่อท่านสังเกตุพบว่าราคาหุ้นตัวหนึ่งกำลังดิ่งลงทะลุเส้นค่าเฉลี่ยดังกล่าว โดยทั่วไปแล้วนั่นหมายความว่าหุ้นตัวนั้นไม่เป็นที่นิยมในหมู่นักเทรดรายใหญ่อีกต่อไป ซึ่งก็ถึงเวลาที่ท่านควรเปลี่ยนไปเทรดหุ้นตัวอื่นๆ เช่นกัน
โปรดทราบ: เพื่อป้องกันการขาดทุน ท่านควรจับตามองความเคลื่อนไหวของหุ้นรอบๆ เส้น MA อยู่สม่ำเสมอ
เส้น Relative Strength Index (RSI)
การดูเส้น RSI นอกจากจะเป็นหนึ่งในวิธีการในการวิเคราะห์ตลาดหุ้นแบบรวดเร็วแล้ว ยังช่วยให้ท่านรู้ได้ว่าหุ้นใดเป็น 'หุ้นเชื่องช้า' (Laggard) ที่ค่อยๆ ขยับแบบช้าๆ และหุ้นใดเป็นหุ้นกลุ่ม 'ผู้นำตลาด' (Leader) ซึ่งดีต่อการลงทุนมากกว่า โดยวิเคราะห์จากการใช้เส้น RSI เปรียบเทียบพฤติกรรมราคาหุ้นกับดัชนี S&P 500 นั่นเอง

กรณีตัวอย่าง: หากเส้น RSI มียอดแหลมสูงมากๆ หมายความว่าหุ้นนั้นกำลังเติบโตและได้ผลดี แต่เมื่อใดก็ตามที่ RSI ลดต่ำลง นั่นหมายความว่าหุ้นนั้นกำลังอืดหรือขยับแบบเชื่องช้านั่นเองครับ