นักวิเคราะห์เชื่อกันว่า Bitcoin (BTC) กำลังจะร่วงสู่จุดต่ำสุดอีกครั้ง นั่นหมายความว่าเราอาจเข้าสู่ “ฤดูหนาวของคริปโต (Crypto winter)” เร็วๆ นี้ ซึ่งเป็นจังหวะที่บีบให้นักเทรดรายย่อยจำนวนมากเผ่นออกจากตลาด เนื่องจากราคา BTC จะดิ่งแตะจุดต่ำสุดเดิมในรอบหลายปี ที่ราวๆ $13,000
ฤดูหนาวคริปโตครั้งล่าสุดเป็นมหันตภัยที่รุนแรงมากในโลกการเทรดคริปโต อันเป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนโครงสร้างและนโยบายทางเศรษฐกิจ ซึ่งก็ทำให้รูปแบบและมุมมองในการเทรดเปลี่ยนไป แม้แต่ตลาดรายใหญ่หรือกลุ่ม Hedge fund เองยังต้องสั่นสะเทือน และไม่ใช่แค่ Bitcoin เพียงอย่างเดียวที่ร่วงหนัก แต่ยังรวมไปถึงคริปโตอีกหลายตัวจนเกือบร่วงยกแผงเลยก็ว่าได้
คริปโตกระแสแรงหลายๆ ตัวร่วงจากจุดสูงสุดในเดือนพ.ย. ถึง 70% ขณะที่มูลค่าตลาดลดลงถึง 2 ล้านล้านเหรียญ โดยไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคา BTC วิ่งอยู่ที่ $19,000 ถึง 22,000 และยังไม่มีทีท่าว่าจะมีปัจจัยหนุนที่ชัดเจน ส่วนนักเทรดก็ยังคงต้องเฝ้าระวังว่าราคาจะดิ่งตอนไหน
ว่าแต่… ปัจจัยที่ทำให้คริปโตร่วงหนักมีอะไรบ้าง? มาดูกันเลย
มุมมองทางเศรษฐกิจโดยรวมกำลังมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นปัจจัยลบต่อ BTC อย่างมาก ขณะที่อัตราเงินเฟ้อกำลังพุ่งสูงขึ้น ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และแบงก์ชาติรายอื่นๆ จึงจำต้องเข้าแทรกแซงและขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่าง ไม่ใช่แค่เหรียญคริปโตเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงหุ้นด้วยเช่นกัน
เราจะเห็นได้ว่าความเคลื่อนไหวของคริปโตนั้นค่อนข้างสัมพันธ์กับตลาดหุ้น ซึ่งเมื่อหุ้นร่วงคริปโตก็ร่วงเช่นกัน อีกหนึ่งสาเหตุอาจมาจากความกังวลของนักลงทุนว่าเศรษฐกิจอาจถดถอยในไม่ช้า ซึ่งเมื่อภาพรวมเศรษฐกิจมีการเปลี่ยนแปลง BTC ก็ยิ่งมีแนวโน้มที่จะดิ่งลงเหว
เลเวอเรจเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ขับเคลื่อนตลาดคริปโต โดยนักลงทุนสามารถเลือกใช้อัตราเลเวอเรจที่แตกต่างกันในหลายๆ แพลตฟอร์ม ซึ่งให้ผลตอบแทนสูงสำหรับผู้ที่ฝากเหรียญ
อย่างไรก็ตาม มีหลายแพลตฟอร์มที่กำลังเผชิญวิกฤตอย่างหนัก โบรกเกอร์บางแห่งถึงกับต้องปิดระบบการถอนเนื่องจากปัญหาด้านสภาพคล่องนั่นเอง ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าราคา BTC ที่ร่วงหนักก็เป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างความเดือดร้อนให้กับธุรกิจการเงินหลายแห่ง
โดยส่วนใหญ่ ผู้ให้บริการการเทรดจะนำทรัพย์สินออกมาจากแหล่งรับฝากของตัวเอง แล้วส่งต่อให้กับผู้ที่ให้ผลตอบแทนสูง จากนั้นแพลตฟอร์มเหล่านั้นก็จะเก็บกำไรที่จะควรจะต้องนำไปจ่ายเป็นผลตอบแทนให้ลูกค้ารายย่อยเข้ากระเป๋าตัวเอง
ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างหนักคงหนีไม่พ้นนักเทรดรายย่อยที่ไม่ได้มีทุนหนาเท่าไหร่ ที่ไม่มีหนทางให้เลือกมากมายนอกจากว่าต้องเผ่นออกจากตลาด แต่หากสถานการณ์เข้าขั้นวิกฤตจริงๆ ก็อาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อนักขุดเหมืองรายใหญ่ๆ เช่นกัน
เมื่อราคาตลาดร่วง กำไรก็หดหาย ขณะที่นักเทรดยังต้องจ่ายต้นทุนเท่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ ระบบต่างๆ ที่ต้องใช้ในการเทรด รวมถึงชุดอุปกรณ์ในการขุดเหมืองที่ทำให้นักเทรดหลายคนหมดตัวได้เลย มีแต่นักขุดที่แข็งแกร่งที่จะอยู่รอดในตลาดต่อไป
อย่างไรก็แล้วแต่ ตลาดคริปโตจะอยู่ในฤดูหนาวแค่ชั่วคราวเท่านั้น อาจยังไม่ใช่จุดจบของโลกคริปโตเสียทีเดียว มีโอกาสที่ราคาจะฟื้นตัวกลับขึ้นมาเมื่อฤดูหนาวผ่านพ้นไป ที่สำคัญ นักเทรดเองก็สามารถหาวิธีทำกำไรแม้ในช่วงที่ตลาดเป็นขาลงได้เช่นกัน ทั้งนี้ ท่านต้องเข้าใจวิธีการทำเงินจากตลาดคริปโตในช่วงขาลงให้ดีเสียก่อน
ขอให้ท่านโชคดีในการเทรด!