นักวิเคราะห์บางคนดูถูกความเสี่ยงของวิกฤติการธนาคารครั้งใหม่ แต่อย่างไรก็ตาม นักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์มหภาคบางส่วนมั่นใจว่าสถานการณ์นี้จะสามารถเกิดขึ้นได้ในเดือนมีนาคม 2024
สถานการณ์วิกฤตนี้อาจถูกกระตุ้นโดยโครงการสภาพคล่องฉุกเฉินที่เปิดตัวโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือที่เรียกว่า BTFP ซึ่งเป็นโปรแกรมการระดมเงินทุนระยะยาวของธนาคาร โดยคาดการณ์ว่าจะมีโครงการสนับสนุนทางการเงินต่างๆที่เชื่อว่าจะช่วยบรรเทาความตึงเครียดที่เกิดจากระบบธนาคารได้
ทั้งนี้ FED ได้เปิดตัว BTFP ก็เพื่อรับรองเสถียรภาพของภาคธนาคาร ยิ่งไปกว่านั้น ยังคาดว่าโครงการนี้จะช่วยให้มีสภาพคล่องที่เพียงพอ ภายใต้โครงการริเริ่มนี้ ธนาคารและสถาบันการเงินจะมีโอกาสกู้ยืมเงินจากธนาคารกลางสหรัฐฯผ่านหลักทรัพย์คุณภาพสูงที่ใช้เป็นหลักประกันและมีระยะเวลาการกู้ยืมคือ 1 ปี โดยทั่วไปแล้วหลักทรัพย์จะเกี่ยวข้องกับพันธบัตรกระทรวงการคลังสหรัฐฯและสินทรัพย์อื่นๆที่ได้รับการสนับสนุนจากหนี้ภาครัฐเป็นหลัก
ในอีกทางหนึ่ง ผู้เชี่ยวชาญมีความกังวลเกี่ยวกับขอบเขตที่จะใช้งาน BTFP ทั้งนี้ มูลค่าเงินกู้โดยรวมได้เพิ่มขึ้นจาก 60 พันล้านดอลลาร์เป็น 100 พันล้านดอลลาร์นับตั้งแต่เดือนมีนาคมปีที่แล้ว การเพิ่มขึ้นนี้อาจเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่กระตุ้นให้เกิดความไม่สมดุลของระบบธนาคาร ซึ่งจริงๆแล้วเราได้เห็นการใช้โปรแกรมเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเมื่อเทียบกับวิกฤตการธนาคารในปี 2023 หลังจากที่ธนาคาร Silicon Valley ล่มสลาย จริงๆ แล้วเราเห็นการใช้โปรแกรมเพิ่มขึ้นสองเท่าเมื่อเทียบกับวิกฤตการธนาคารในปี 2566 หลังจากการล้มละลายของ Silicon Valley Bank ดังนั้นจึงยังไม่ถึงเวลาที่จะเชื่อได้ว่าเราจะผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากไปได้
อีกทั้ง หน่วยงานจัดอันดับของ Fitch ยังได้แสดงรายงานดังกล่าวเพื่อเป็นการเตือนธนาคารในภูมิภาคต่างๆและธนาคารขนาดเล็ก เนื่องจากธนาคารเหล่านี้จะเป็นกลุ่มแรกๆที่จะเผชิญกับแรงกดดันที่ไม่สมดุลในปี 2024 นอกจากนี้ เดือนมีนาคมยังเป็นกำหนดเวลาสำหรับ BTFP และไม่มีใครรับประกันได้ว่าโปรแกรมจะขยายออกไปหรือไม่ ซึ่งหมายความว่าเราน่าจะได้เห็นสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นในเดือนมีนาคม
ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดอาจทำให้ระบบธนาคารของสหรัฐฯย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษที่ 1930 เมื่อ Fed พยายามควบคุมอัตราเงินเฟ้อด้วยการลดสภาพคล่องลงก็อาจทำให้ธนาคารขนาดเล็กล้มละลายได้ หากสถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น ระบบจะเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อ “red flag” ขนาดใหญ่ อีกประการหนึ่งเกี่ยวกับภาคธนาคารที่อ่อนแอลงก็คือการตัดสินใจของ CEO JPMorgan ที่จะขายหุ้นของเขาจำนวน 1 ล้านหุ้น ซึ่งผู้ลงทุนควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
ขอให้คุณโชคดีในการเทรด !