บริษัททองคำที่มีส่วนแบ่งทางตลาดตลาดรายใหญ่กำลังรอการประกาศนโยบายโดยธนาคารกลางสหรัฐ(FED) ซึ่งส่งผลต่อข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐฯ
ราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้น 0.4% โดยเมื่อพิจารณาจากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง ราคาต่อออนซ์ของทองจะอยู่ที่ $1,883.00 ในวันพฤหัสบดีนี้ นอกจากนี้ Gold futures(สัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า) ยังได้แสดงให้เห็นถึงราคาทองที่เพิ่มขึ้น 0.4% จนราคาทองแตะที่ระดับ $1,886.30
ในขณะเดียวกันค่าเงิน USD อ่อนค่าต่ำสุดในรอบ 7 เดือนที่ผ่านมา นอกจากนี้การปรับลดอัตราการผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ฝากมาอย่างน้อย 10 ปีมีส่วนทำให้ค่าเงินอ่อนค่าลงเล็กน้อยด้วย
ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญยังกล่าวว่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้น ค่าเงิน USD ที่อ่อนค่าส่งผลโดยตรงต่อราคาทองทั้งประเภท Spot gold และ Futures นอกจากนี้นักลงทุนควรพิจารณาว่าราคาทองคำแท่งกำลังเผชิญกับแนวต้านที่ระดับประมาณ $1,880
นักลงทุนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับดัชนีราคาผู้บริโภค(Consumer price index) ซึ่งเพิ่มขึ้น 6.5% ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา แม้จะลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับจากเดิมที่เพิ่มขึ้น 7.1% เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา
จากการคาดการณ์ราคาทองคำน่าจะขึ้นถึงระดับเกิน $1,900 หากผลลัพธ์ CPI ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตามเราไม่ควรคาดหวังในการเคลื่อนไหวของราคาทองขาขึ้นในระยะยาว ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในระยะสั้น เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงเลือกรักษาผลกำไรไว้
บางคนอาจกล่าวว่าโลหะสามารถป้องกันความเสี่ยงของภาวะเงินเฟ้อได้ อย่างไรก็ตามนักลงทุนจะได้รับประโยชน์จากค่าเสียโอกาสที่ดีขึ้นจากการถือครองทองคำแท่ง เนื่องมาจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นซึ่งปรับขึ้น 75 จุดเป็นจำนวน 4 ครั้งในปี 2565
ในขณะที่โรงสกัดทองคำของอินเดียหยุดการนำเข้าทองคำเนื่องจากผู้ประกอบการในตลาดให้ส่วนลดราคาทองเป็นจำนวนมาก
สำหรับโลหะอื่น ๆ มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นเล็กน้อยดังรายการนี้: Silver(เงิน) เพิ่มขึ้น 0.8% , palladium(แพลเลเดียม) เพิ่มขึ้น 0.7% และ ทองคำขาว(Platinum) เพิ่มขึ้น 0.2%
ขอให้คุณโชคดีในการเทรด!