ด้วยมูลค่าพันธบัตรสหรัฐฯ ที่เติบโตอย่างรวดเร็วทำให้หุ้นสหรัฐหลายๆ ตัวร่วงหนัก นี่เป็นแค่เรื่องบังเอิญหรือเรื่องที่เกิดขึ้นตามปกติ?
มูลค่าปัจจุบันสุทธิของกระแสเงินสดจะลดลงตามอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นตามรูปแบบกระแสเงินสดลดแบบดั้งเดิม ทำให้บริษัทหลายๆ แห่งมีกำไรที่น้อยลง ตลอดจนภาระหนี้ที่สูงขึ้นหากมีการปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น
สภาวะเศรษฐกิจจะมีการเปลี่ยนแปลงชัดเจน สินทรัพย์หลายๆ ตัวต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงหนัก 30% นำโดย Nasdaq ขณะที่บางคนกล่าวว่าสาเหตุหลักของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำคือกลยุทธ์ในทางที่ผิดที่หวังว่าจะชะลอเงินเฟ้อของ FED ขณะที่บางคนบอกว่ามันเป็นเรื่องการเมือง “การรุกรานของรัสเซีย” และสถานการณ์โควิดในจีน
อาจเป็นไปได้หลายสาเหตุ ซึ่งจริงๆ แล้วอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยหลักที่ก่อให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว โดยสาเหตุที่ทำให้อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเป็นเพราะอะไรนั้นไม่สำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญคือผลกระทบต่อเทรดเดอร์และนักลงทุนในตลาดการเงินต่างหาก
หุ้นอาจทำให้พันธบัตรตกอยู่ในสถานะความเสี่ยงเนื่องจากหุ้นเองก็เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงเช่นกัน เช่น หากหุ้นให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับพันธบัตร ก็ทำให้หุ้นเป็นตัวเลือกการลงทุนที่น่าดึงดูดยิ่งขึ้น เราอาจลองพิจารณาจากโมเดล FED ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบผลตอบแทนของ S&P 500 กับผลตอบแทนของบอนด์ยีลด์ 10 ปี
พูดง่ายๆ อัตราบอนด์ยีลด์ที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้มีการคิดใหม่เกี่ยวกับวิธีการจัดสรรเงินทุนของผู้คน พันธบัตรและหุ้นมีผลตอบแทนค่อนข้างเท่ากัน ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือความเสี่ยงที่เกิดขึ้นและการยอมรับความเสี่ยงของนักลงทุน
หุ้นถือเป็นสินทรัพย์ระยะยาว โดยในการวัดระยะเวลา นักเทรดต้องคาดการณ์ว่าจะใช้เวลานานเท่าใดจึงจะได้เงินลงทุน $1 คืนกลับมา แต่ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ท่านจะใช้เวลานานขึ้นมูลค่าเงินสุทธิที่ลดลง
ดังนั้น ในช่วงเวลาที่ตลาดไม่แน่นอนและอัตราดอกเบี้ยที่พุ่งสูงขึ้น ท่านอาจต้องการหาวิธีที่เร็วกว่าการสร้างผลตอบแทน การลงทุนในคริปโตก็อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับการให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะสั้นหรือระยะยาว ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์การเทรดของท่าน อย่างไรก็ตาม ขอแนะนำให้ท่านเทรดคริปโตบนแพลตฟอร์มที่ดีที่สุด เพลิดเพลินกับสเปรดเริ่มต้นแค่ 0 การฝาก-ถอนเงินที่รวดเร็ว และเงื่อนไขการเทรดที่ดีที่สุดในอุตสาหกรรม