ระบบเทรดแบบ Buy and Hold คืออะไร? อธิบายง่ายๆ มือใหม่เข้าใจไม่ยาก!

กลยุทธ์ Buy and Hold เป็นหลักการที่ได้รับความนิยมในหมู่นักลงทุนที่เน้นเทรดระยะยาว ชื่อของกลยุทธ์ก็บอกชัดเจว่าเป็นการซื้อสินทรัพย์และถือไว้นานที่สุด ต่างจากเทรดเดอร์ทั่วไปที่มุ่งซื้อและขายสินทรัพย์ไวๆ โดยนักลงทุนที่ใช้กลยุทธ์นี้จะไม่ขายหุ้น พันธบัตร หรือตราสารอื่นๆ อย่างรวดเร็ว เนื่องจากหลักทรัพย์เหล่านี้จัดเป็นรายได้หลักสำหรับนักเทรดบางท่าน

แม้ว่ากลยุทธ์นี้จะใช้กันมาอย่างยาวนาน แต่ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่นักเทรดควรทำความเข้าใจแบบละเอียด โดยในบทความวันนี้ เราจะเรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการ Buy and Hold รวมถึงข้อดีและข้อเสียที่ควรระวังของหลักการดังกล่าว

วิธีเทรดด้วยกลยุทธ์ Buy and Hold

เมื่อตัดสินใจที่จะ "ซื้อและถือ" หรือ Buy and Hold นั่นหมายความว่นักลงทุนต้องการลงทุนในสินทรัพย์นั้นๆ ในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นหุ้น อสังหาริมทรัพย์ หรือพันธบัตรต่างๆ แต่จะซื้ออะไรนั้นไม่สำคัญ แนวคิดหลักคือการซื้อโดยไม่มีเจตนาที่จะขายในเวลาสั้นๆ แม้ว่าตลาดจะมีการเคลื่อนไหวและการแกว่งตัวที่ไม่คาดคิดก็ตาม

หลักการนี้จะเป็นการซื้อสินทรัพย์ทางการเงินหรือแม้กระทั่งสินทรัพย์ที่ไม่เกี่ยวกับทางการเงิน และถือเก็บไว้แม้ว่าตลาดจะมีความผันผวนอย่างมากในปัจจุบัน โดยบางท่านอาจสังเกตว่าบางครั้งราคามีการลดลงอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม นักเทรดจะต้องหลีกเลี่ยงสิ่งล่อใจที่เย้ายวนให้ขายสินทรัพย์ทิ้ง และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในตลาด ท่านจะต้องแข็งใจถือสินทรัพย์นั้นๆ ต่อไป

แน่นอนว่าไม่ใช่ว่าหุ้นทุกตัวที่ท่านซื้อและถือไว้จะสามารถสร้างกำไรได้ กลยุทธ์นี้จะต้องใช้กับ Mindset อื่นๆ ด้วยเช่นกัน ซึ่งต้องมีความเชื่อมัน่ว่าราคาสินทรัพย์อาจปรับขึ้นเกินมูลค่าปัจจุบันได้ อย่าเพิ่งให้ความสำคัญกับสถานการณ์ในตลาดเพียงชั่วคราว

ข้อดีของกลยุทธ์ Buy and Hold

กลยุทธ์ Buy and Hold เป็นกลยุทธ์ระยะยาวที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากมีผลดีต่อนักลงทุนในทุกระดับ อย่างไรก็ตาม ท่านต้องตระหนักอย่างชัดเจนว่าการเติบโตอาจช้ากว่าที่คาดไว้ นอกจากนี้ สินทรัพย์บางประเภท เช่น อสังหาริมทรัพย์ ทำให้นักลงทุนได้ครอบครองสินทรัพย์นั้นไว้จริงๆ ซึ่งทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่รู้สึกมั่นใจมากขึ้นว่าจะได้ผลตอบแทนจากมูลค่าสินทรัพย์ในอนาคต

ข้อดีของกลยุทธ์นี้ ได้แก่:

• ผลตอบแทนสูง (High returns) กลยุทธ์นี้ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดในบรรดากลยุทธ์ระยะยาวทั้งหมด โดยให้นักลงทุนสร้างค่าเฉลี่ย 10%-12% ไม่ว่ามูลค่าตลาดจะอยู่ระดับใดก็ตาม
• ไม่มีค่าธรรมเนียม (Low or Zero Taxes) ท่านต้องจ่ายภาษีเฉพาะเมื่อมีการขายสินทรัพย์ ในขณะที่กลยุทธ์การซื้อและถือจัดเป็นการถือครองสินทรัพย์โดยไม่ขาย ทำให้ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม
• ลดต้นทุน (Reduced Cost) นักเทรด Day trade ต้องจัดการกับค่าคอมมิชชั่นและค่าใช้จ่ายหลายรายการสำหรับการซื้อขายแต่ละครั้งที่มีการดำเนินการ ยิ่งมีคำสั่งซื้อขายมาก ก็ยิ่งมีต้นทุนสูงขึ้น แนวคิดการซื้อและถือจะไม่เน้นถือสินทรัพย์มากๆ และจะไม่ซื้อขายทุกวัน ทำให้ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมลดลง

ข้อเสียของกลยุทธ์ Buy and Hold

นอกจากข้อดีที่กล่าวมาแล้ว กลยุทธ์นี้ก็มีข้อเสียหลายอย่างที่บางท่านอาจยังไม่ทราบ โดยข้อเสียหลักของกลยุทธ์การ Buy and Hold ได้แก่:

• ใช้เวลามาก หากท่านไม่พร้อมที่จะรออย่างน้อย 3-5 ปี กลยุทธ์นี้ไม่เหมาะกับท่านอย่างแน่นอน
• สินทรัพย์มีมูลค่าต่ำ การซื้อและถือครองสินทรัพย์ไม่ได้รับประกันว่าจะได้ผลตอบแทนที่ดี แนวคิดคือการซื้อตราสารที่จะเพิ่มมูลค่าในระยะยาว อาจต้องอาศัยการวิจัยและการวิเคราะห์เพิ่มเติม
• ผลเสียด้านความผันผวน แม้ว่าความผันผวนจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ มูลค่าสินทรัพย์ยังอาจปรับกลับขึ้นมาได้ เว้นแต่นักลงทุนจะมีการขาดทุนจำนวนมากๆ
• สภาพคล่องมีจำกัด เมื่อซื้อและถือสินทรัพย์นานๆ ท่านอาจมีความเดือดร้อนทางการเงินเมื่อจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากสำหรับค่าใช้จ่ายต่างๆ
• ต้องใช้ความอดทน ในบางจังหวะ มูลค่าตลาดอาจลดลงได้ถึง 50% แม้ในช่วงตลาดขาลง ท่านต้องรักษาวินัยและหลีกเลี่ยงสิ่งล่อใจในการขายสินทรัพย์ มิฉะนั้นก็จะไม่เป็นไปตามกลยุทธ์ที่วางไว้

สรุปเกี่ยวกับการ Buy and Hold

กลยุทธ์การซื้อและถือ (Buy and Hold) เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มองหาวิธีทำให้พอร์ตโฟลิโอมีความมั่นคงและผลกำไรที่ยั่งยืน อีกทั้งยังเป็นที่นิยมมากสำหรับนักลงทุนทั้งมือใหม่และที่มีประสบการณ์ ยิ่งไปกว่านั้นมันยังเป็นวิธีที่ง่าย แต่ท่านจำเป็นต้องหาสินทรัพย์ที่จะเกินมูลค่าในระยะยาวเท่านั้น ในขณะเดียวกัน กลยุทธ์นี้อาจไม่ได้ผลสำหรับเทรดเดอร์ที่ใจร้อนหรือต้องการสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้นและต้องการมีเงินสดไว้เยอะๆ ที่สำคัญ แนวคิดนี้ยังต้องอาศัยความมั่นใจและความอดทนในการปฏิบัติตามแผนการลงทุนระยะยาวอีกด้วย

บทความนี้ไม่มีและไม่ควรถูกพิจารณาว่ามีคำแนะนำหรือคำปรึกษาด้านการลงทุน รวมถึงข้อเสนอหรือการชักชวนในการทำธุรกรรมใดๆ ในตราสารทางการเงิน ทั้งนี้ นักลงทุนควรขอคำแนะนำจากที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน